แนะนำศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี

KOREAN CULTURAL CENTER

  • แนะนำศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี

ประเพณีและความทันสมัยอยู่ร่วมกันในวัฒนธรรมของเกาหลี ประกอบด้วยดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม นาฏศิลป์ สถาปัตยกรรม เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร  สาธารณรัฐเกาหลีได้อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งมีจำนวนมากที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และได้รับการคุ้มครองโดย UNESCO


ชาวเกาหลีได้พัฒนาวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ขึ้นจากทักษะความสามารถทางศิลป์ที่โดดเด่นนับตั้งแต่ครั้งลงหลักปักฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สภาพทางภูมิศาสตร์ของคาบสมุทรเปิดโอกาสให้ชาวเกาหลีได้รับวัฒนธรรมทั้งจากทางบกและทางทะเล อันรวมไปถึงทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งช่วยก่อร่างวัฒนธรรมที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า และมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเกาหลีหลากหลายแขนงทั้งทางด้านดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม นาฏศิลป์ สถาปัตยกรรม การแต่งกาย และอาหารการกินได้ผสานรวมเข้ากับความทันสมัยแห่งยุคปัจจุบันได้อย่างงดงาม และเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ


<B>Gyeongju Historic Areas.</B> Gyeongju was the capital of Silla for about one millennium. The city still contains a wealth of archaeological remains from the Kingdom, and hence is often dubbed as “a museum without walls or roof.” The photo shows a scene of the Silla mound tombs located in the city.

เขตประวัติศาสตร์คยองจู คยองจูเคยเป็นเมืองราชธานีของอาณาจักรชิลลาประมาณหนึ่งสหัสวรรษ ร่องรอยทางโบราณคดีสมัยอาณาจักรชิลลายังคงมีให้เห็นมากมายในเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ด้วยเหตุนี้คยองจูจึงมักถูกขนานนามว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีกำแพงหรือหลังคา”ในภาพแสดงสุสานเนินศิลาที่ตั้งอยู่ในเมือง



ปัจจุบันศิลปวัฒนธรรมของเกาหลีได้ดึงดูดผู้สนใจจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัสความสำเร็จทางด้านศิลปวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา ได้นำพาให้หนุ่มสาวมากความสามารถหลายต่อหลายคนชนะการประกวดดนตรีและการเต้นที่มีชื่อเสียงระดับโลก ส่วนงานวรรณกรรมก็ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมายหลายภาษาเพื่อดึงดูดผู้อ่านต่างชาติ โดยที่ ผลงานศิลปะ ดันแซกฮวา โดยศิลปินเกาหลีเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก


ความนิยมเคป็อปของโลกได้มาถึงจุดสูงสุดในเดือนสิงหาค 2020 เมื่อวงบอยแบนด์เกาหลีใต้อย่าง BTS ประสบความสำเร็จเป็นอันดับที่ 1 ในชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 เป็นครั้งแรกของเอเชียตั้นแต่ปี 1963 ด้วยซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษชื่อ “Dynamite” ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของเคป็อปทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา อเมริกาใต้ และยุโรป รวมไปถึงญี่ปุ่น จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ใช่แค่ผลงานของศิลปินวงเดียวเท่านั้น มิวสิควิดีโอของศิลปินเคป็อปอย่าง BLACKPINK เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้ได้สร้างสถิติยอดวิวทาง YouTube และกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น


ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมอันเป็นที่ประจักษ์ในทุกวันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากซึ่งมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรม ที่สร้างขึ้นจากความวิริยะ อุตสาหะ และทักษะความสามารถทางศิลปะของชาวเกาหลีที่ผ่านการสั่งสมมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทักษะทางด้านศิลปะอันมีเอกลักษณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความลุ่มลึก และวิจิตรบรรจงตามยุคสมัยต่างๆ โดยเห็นได้จากโบราณวัตถุและจิตรกรรมฝาผนังในสุสานของยุคอาณาจักรทั้งสาม ไล่เลียงมายังยุคอาณาจักรรวมชิลลา (676-935) โครยอ (918-1392) และโชซอน (1392-1910) ทักษะความสามารถทางด้านศิลปะได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงศิลปินเกาหลีในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังตกทอดมาถึงคนธรรมดาทั่วไปในสังคมอีกด้วย 


เกาหลีได้อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันประเมินค่ามิได้นี้ไว้เป็นอย่างดี มรดกบางชิ้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอยู่ภายใต้การคุ้มครองขององค์การยูเนสโก ในปี 2020 มีมรดกของสาธารณรัฐเกาหลีทั้งหมด 50 รายการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก หรือมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนอยู่ในความทรงจำแห่งโลก โดยองค์การยูเนสโก


พระราชวังชางด็อกกุง

พระราชวังชางด็อกกุง ตั้งอยู่ที่วารยง-ดง เขตชงโน กรุงโซล เป็น 1 ใน 5 พระราชวังที่สร้างขึ้นในรัชสมัยโชซอน (1392- 1910) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่โครงสร้างพระราชวังและส่วนประกอบอื่นๆ ยังคงอยู่ในสภาพดั้งเดิม พระราชวังชางด็อกกุงสร้างขึ้นในปี 1405 เพื่อใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานแต่กลายเป็นพระตำหนักอย่างเป็นทางการของราชวงศ์โชซอน เนื่องจากพระราชวังคยองบกกุงซึ่งเป็นพระราชวังหลักถูกไฟไหม้ในปี 1592 เมื่อครั้งที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามารุกรานเกาหลี จนกระทั่งในปี 1867 เมื่อพระราชวังคยองบกกุงได้รับการบูรณะซ่อมแซมจนแล้วเสร็จก็ได้กลับมาเป็นพระตำหนักของราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง พระราชวังชางด็อกกุงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี 1997



ท้องพระโรงอินชองจอน ในพระราชวังชางด็อกกุง

ท้องพระโรงแห่งนี้เป็นที่จัดรัฐพิธีสำคัญในอดีต เช่น พิธีราชาภิเษก การเข้าเฝ้า และการรับรองคณะทูตจากต่างประเทศ



ถึงแม้จะสร้างขึ้นในสมัยโชซอนแต่พระราชวังชางด็อกกุงมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากโครยอ เช่น ตั้งอยู่ตามเชิงเขาเพื่อให้เข้ากับธรรมชาติ โดยปกติพระราชวังจะสร้างขึ้นตามแผนผังที่วางไว้เพื่อเน้นย้ำถึงบารมีและอำนาจของผู้ครอบครอง แต่พระราชวังชางด็อกกุงมีลักษณะการออกแบบที่ใช้ประโยชน์จากสภาพทางภูมิศาสตร์ของเชิงเขาอึงบง ของเขาพูกักซาน ซึ่งเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ในพระราชวังได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพดี เช่น ประตูทนฮวามุน (ประตูทางเข้าหลัก) ท้องพระโรงอินชองจอน  ท้องพระโรงซอนชองจอน และสวนสวยแบบดั้งเดิมที่อยู่ด้านหลังของอาคารหลัก (พีวอน) นอกจากนี้ยังมีนักซอนแจซึ่งเป็นตำหนักที่พักของเชื้อพระวงศ์ ที่สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยที่ยังสามารถรักษาความวิจิตรงดงามของฮันอกแบบดั้งเดิมไว้ได้



ศาลชงมโย


ชงมโยตั้งอยู่ที่ฮุนจองดง เขตชงโน กรุงโซล เป็นอารามหลวงของราชวงศ์ในสมัยโชซอน (ปี 1392-1910) สร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาป้ายบรรพบุรุษ 83 ป้ายของกษัตริย์โชซอน พระราชินีคู่ศรีพระบารมี และบรรพบุรุษสายตรงของผู้สถาปนาราชวงศ์ที่ได้รับฐานันดรศักดิ์หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากราชวงศ์โชซอนก่อตั้งขึ้นตามแนวคิดของขงจื๊อ กษัตริย์ผู้ครองนครจึงเห็นชอบให้นำหลักคำสอนของขงจื๊อมาปฏิบัติและชำระล้างสถานที่ประดิษฐานป้ายบรรพบุรุษให้บริสุทธิ์


ศาลชงมโย 

ศาลเจ้าขงจื๊อในสมัยโชซอนเป็นที่เก็บรักษาป้ายพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษกษัตริย์โชซอนและพระราชินีคู่ศรีพระบารมี



มีอาคารหลัก 2 แห่งในศาลเจ้า ได้แก่ หอชองจอน และหอยองนยองจอน มีลักษณะเป็นสมมาตรและระดับความสูงที่ต่างกันของพื้นยก ชายคา และหลังคา รวมทั้งความหนาของเสาที่แตกต่างกันไปตามสถานะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม รวมไปถึงห้องโถงของศาลเจ้าทั้งสองซึ่งมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของศตวรรษที่ 16 พิธีรำลึกตามฤดูกาลเพื่อรำลึกถึงชีวิตและความสำเร็จของบรรพบุรุษสมัยโชซอนยังคงจัดขึ้นที่ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่เป็นระยะๆ

 

ป้อมฮวาซอง เมืองซูวอน


ฮวาซองคือป้อมปราการขนาดใหญ่ (มีกำแพงยาว 5.7 กิโลเมตร) สร้างขึ้นในปี 1796 ในรัชสมัยพระเจ้าชองโจ (1776-1800) แห่งราชวงศ์โชซอน ตั้งอยู่ในเขตชังอัน เมืองซูวอน จังหวัดคยองกีโด การก่อสร้างเริ่มขึ้นหลังจากที่พระเจ้าชองโจทรงย้ายพระราชสุสานของพระบิดา มกุฎราชกุมารซาโด จากยังจู จังหวัดคยองกีโด ไปยังที่ตั้งในปัจจุบันซึ่งอยู่ใกล้กับป้อมปราการ ซึ่งการออกแบบป้อมปราการทำขึ้นอย่างละเอียดละออและพิถีพิถันเพื่อให้สามารถยืนหยัดปกป้องเมืองที่อยู่ด้านใน และเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ มีการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการก่อสร้างป้อมปราการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น คอจุงกี (ปั้นจั่นประเภทหนึ่ง) และนกโร (ลูกรอก) เป็นต้น เพื่อช่วยยกวัสดุก่อสร้างที่หนักจำพวกหิน ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นโดย จอง ยัก-ยง นักคิดและนักเขียนตามแนวคิดของขงจื๊อผู้มีชื่อเสียง (1762-1836) 

 


ถ้ำซ็อกกูรัม และวัดพุลกุกซา 


ถ้ำซ็อกกูรัมตั้งอยู่ตรงกลางเนินลาดของภูเขาโทฮัมซาน เมืองคยองจู จังหวัดคยองซังบุกโด เป็นตัวแทนของอาศรมในถ้ำหินที่มนุษย์สร้างขึ้นปี 774 ในยุคทงอิลชิลลา (อาณาจักรรวมชิลลา) เพื่อใช้เป็นหอปฏิบัติธรรมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิล้อมรอบไปด้วยเทพพิทักษ์และพระสาวก ประติมากรรมแบบสลักนูนถือเป็นงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ได้รับการยกย่อง ถ้ำหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อให้แสงแรกอรุณจากทะเลตะวันออกสาดกระทบเศียรพระพุทธรูป
 

วัดพุลกุกซาสร้างเสร็จในยุคสมัยเดียวกันกับถ้ำซ็อกกูรัม ภายในวัดมีหอสวดมนต์ซึ่งสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม และยังมีปูชนียสถานแบบต่างๆ อาทิ ทาโบทับ และซ็อกกาทับ เจดีย์หินคู่ซึ่งตั้งอยู่ที่ลานด้านหน้าของแดอุงจอนหรือหอสวดมนต์หลักของวัด เจดีย์หินคู่นี้ถือเป็นเจดีย์สมัยชิลลาที่สวยงามที่สุดที่หลงเหลือมาถึงในยุคปัจจุบัน โดยเจดีย์ทาโบทับขึ้นชื่อในเรื่องงานแกะสลักที่ละเอียดประณีต ส่วนซ็อกกาทับมีความงามในแบบเรียบง่าย 





ป้อมปราการฮวาซองในเมืองซูวอน 

ป้อมปราการในศตวรรษที่ 18 สร้างขึ้นโดยใช้ความรู้และเทคนิควิธีของทั้งตะวันออกและตะวันตกที่ล้ำสมัยที่สุด
ในห้วงเวลานั้น




วัดพุลกุกซา 

วัดในยุคชิลลาแห่งนี้มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดที่รวบรวมหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ภาพนี้แสดงให้เห็นชองอุน-กโย (สะพานเมฆคราม) และแพ็กอุน-กโย (สะพานเมฆขาว)




ถ้ำซ็อกกูรัม 

พระพุทธรูปปางสมาธิบนฐานกลีบบัวประดิษฐานอยู่ตรงกลางถ้ำซ็อกกูรัม


 

เจดีย์ทาโบทับ หรือเจดีย์อุดมทรัพย์ มีความโดดเด่นที่โครงสร้างซึ่งสร้างมาจากหินแกรนิตที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ภาพที่ปรากฏบนเหรียญ 10 วอน คือภาพของเจดีย์ทาโบทับองค์นี้ ในทางตรงข้ามเจดีย์ซ็อกกาทับ หรือเจดีย์แห่งพระศากยมุนีที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย แสดงถึงความงามที่ได้สัดส่วนมีดุลยภาพแบบสมมาตร เจดีย์นี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบของเจดีย์หินทรงสามชั้นที่สร้างขึ้นในเกาหลีนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 


นอกจากนี้ยังมีชองอุน-กโย (สะพานเมฆคราม) และแพ็กอุน-กโย (สะพานเมฆขาว) ซึ่งเป็นสะพานหินที่มีความสง่างามทอดยาวไปทางหอสวดมนต์แดอุงจอน สะพานทั้งสองนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนาแฝงอยู่ว่า ต้องข้ามน้ำและผ่านเมฆไปเพื่อเข้าสู่ดินแดนสวรรค์อันบริสุทธิ์

 


สุสานหลวงแห่งราชวงศ์โชซอน


ราชวงศ์โชซอน (1392-1910) ได้ทิ้งสุสานหลวงไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง มีหลุมฝังพระศพของกษัตริย์และราชินีทั้งหมด 44 หลุม ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบบริเวณราชธานี ได้แก่ เมืองคูรี โคยัง และนัมยังจู ในจังหวัดคยองกีโด หลุมพระศพบางแห่งจัดเรียงเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่ในทงกูรึง ซอโอรึง ซอซัมรึง และฮงยูรึง ซึ่งมี 40 สุสานที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก



<B>1. Donggureung</B> A complex of Royal Tombs built for nine Joseon Kings and their seventeen Queens and Concubines. <B>2. Yeongneung</B> The tomb of King Sejong and his consort Queen Soheon. <B>3. Mongneung</B> The tomb of King Seonjo and his consort Queen Inmok.

1. ทงกูรึง 

กลุ่มพระราชสุสาน 9 แห่ง ที่สร้างขึ้นให้กับกษัตริย์โชซอน 7 พระองค์ พระราชินี 10 พระองค์ และพระสนม  

2. ยองนึง 

สุสานของพระเจ้าเซจงและพระราชินีโซฮอน 

3. มงนึง 

สุสานของพระเจ้าซอนโจ พระราชินีอึยอิน และพระราชินีอินมก



หอพระไตรปิฎกชางคยองพันจอนแห่งวัดแฮอินซา


แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลีประดิษฐ์ขึ้นในสมัยโครยอ (918- 1392) ถูกเก็บรักษาไว้ในหอพระไตรปิฎก วัดแฮอินซา ที่สร้างขึ้นในปี 1488 เพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ หอพระไตรปิฎกเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในวัด สร้างขึ้นโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถควบคุมความชื้นและการถ่ายเทอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเก็บรักษาแม่พิมพ์ไม้เก่าแก่ได้อย่างปลอดภัย ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นเคียงข้างกัน ณ จุดสูงสุด (ประมาณ 700 ม. เหนือระดับน้ำทะเล) ในอาณาเขตของวัดแฮอินซาซึ่งตั้งอยู่กลางเนินเขาคายาซาน

 

สิ่งที่ทำให้หอพระไตรปิฎกแห่งนี้มีความพิเศษก็คือการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้หลักการถ่ายเทอากาศแบบธรรมชาติ โดยใช้ประโยชน์จากลมที่พัดมาจากหุบเขาคายาซาน หน้าต่างฉลุต่างขนาดจัดเรียงอยู่ทางด้านบนและล่างของผนังทั้งด้านหน้าและด้านหลังของหอพระไตรปิฎก เปิดโล่งให้ลมจากหุบเขาพัดผ่านได้อย่างเต็มที่ หน้าต่างฉลุออกแบบมาให้สามารถควบคุมการถ่ายเทของอากาศได้เพื่อรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แสดงถึงเทคนิคด้านสถาปัตยกรรมที่เลิศล้ำ และเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พื้นอาคารก็เช่นกัน มีการสร้างขึ้นโดยการอัดถ่าน ดินเหนียว ทราย เกลือ และผงมะนาว เพื่อช่วยควบคุมความชื้นของห้อง


FAK_unesco_77.jpg

นักรบหิน ผู้พิทักษ์สุสานหลวง

สุสานหลวงยุคโซซอนแต่ละแห่งประกอบด้วยเนินทรงกลมอย่างน้อยหนึ่งเนิน มีขอบคันหินกั้นอยู่รอบฐาน และราวหินที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงรวมทั้งตุ๊กตาหินรูปสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะแกะและเสือที่แสดงถึงความนอบน้อมและดุร้าย ด้านหน้ามีโต๊ะหินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งแต่เดิมใช้สำหรับตั้งเครื่องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ถูกฝังอยู่ที่นั่น มีเสาหินสูงรูปทรงแปดเหลี่ยมตั้งตระหง่านทั้ง 2 ข้างของโต๊ะ มองเห็นได้แต่ไกล นอกจากนี้ยังมีโคมหินตั้งอยู่ด้านหน้ารูปปั้นสัตว์ และมีหินผู้พิทักษ์อย่างน้อย 1 คู่ (พลเรือนและทหาร) ยืนอยู่บนทั้ง 2 ด้านของโคมหินแต่ละโคม โดยมีม้าอยู่ข้างหลัง เนินดินได้รับการปกป้องเพิ่มเติมโดยกำแพงเตี้ยๆ ที่อยู่ด้านหลัง และทั้ง 2 ด้าน


ป้อมนัมฮันซันซ็อง


ป้อมนัมฮันซันซ็องตั้งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 25 กิโลเมตร ได้รับการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในปี 1626 ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าอินโจ แห่งราชวงศ์โชซอน เพื่อสร้างเป็นที่หลบภัยให้กับพระองค์และข้าราชบริพารในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน ฐานของป้อมชูจางซองสร้างขึ้นเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน ในปี 672 ช่วงรัชสมัยของพระเจ้ามุนมู แห่งอาณาจักรรวมชิลลา ใช้เป็นฐานของโครงสร้างป้อมที่บูรณะขึ้นใหม่

<B>Namhansanseong Fortress.</B> A mountain fortress that served as a temporary capital during the Joseon Dynasty, showing how the techniques for building a fortress developed during the 7th-19th centuries.

ป้อมนัมฮันซันซ็อง 

ป้อมปราการภูเขามีสถานะเป็นเมืองหลวงชั่วคราวในยุคราชวงศ์โชซอนใช้เทคนิคการสร้างป้อมที่พัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 7-19


สภาพภูมิประเทศที่มีภูเขาสูงชัน (ความสูงเฉลี่ยอย่างน้อย 480 เมตร) ช่วยเสริมให้การตั้งรับของป้อมปราการแกร่งขึ้นแนวกําแพงมีความยาวประมาณ 12.3 กิโลเมตร จากข้อมูลที่บันทึกไว้ในสมัยโชซอน มีประชาชนราว 4,000 คน อาศัยอยู่ในเมืองที่อยู่ภายในป้อมแห่งนี้ ป้อมปราการนี้จึงทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงชั่วคราวสำหรับราชวงศ์และผู้นำทหารที่จะลี้ภัยในยามฉุกเฉิน พระราชวังชั่วคราว ศาลชงมโย และแท่นบูชาซาจิกดัน ก็สร้างขึ้นในป้อมนี้เมื่อปี 1711 ในรัชสมัยพระเจ้าซุกจง แห่งโชซอน 


ป้อมแห่งนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญของการแลกเปลี่ยนในวงกว้างในด้านเทคนิคทางสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการสร้างป้อมในช่วงสงครามระหว่างเกาหลี (ยุคโชซอน) ญี่ปุ่น (ยุคอะซูชิ- โมโมยาม่า) และจีน (ยุคหมิงและชิง) ในช่วงศตวรรษที่ 16-18 การนําปืนใหญ่จากชาติตะวันตกเข้ามาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ภายในป้อม และวิธีการสร้างป้อมปราการป้อมแห่งนี้เปรียบดั่ง บันทึกที่มีชีวิต” ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวิธีการสร้างป้อมปราการในช่วงศตวรรษที่ 7-19

  

เขตประวัติศาสตร์แพ็กเจ


แพ็กเจเป็นหนึ่งใน 3 อาณาจักรโบราณที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในคาบสมุทรเกาหลีกว่า 700 ปี เมื่อ 18 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงคริสต์ศักราชที่  660 เขตประวัติศาสตร์แพ็กเจตั้งอยู่ในแถบภูเขาทางตะวันตกตอนกลางของคาบสมุทรเกาหลีมีโบราณสถานเรียงรายอยู่ 8 แห่งในคงจู พูยอ และอิกซาน ได้แก่ ป้อมคงซันซอง (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 12) สุสานโบราณ (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 13) ซึ่งตั้งอยู่ในซงซันรี ที่เมืองคงจู จังหวัดชุงชองนัมโด ส่วนที่แหล่งโบราณคดีในควันบกรี เมืองพูยอ จังหวัดชุงชองนัมโด มีป้อมพูโซซันซ็อง (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 5) โบราณสถานในควันบุก-รี (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 428) วัดช็องนิมซา (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 301)  สุสานหลวงในนึงซัน-รี (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 14) และกำแพงเมืองนาซอง (แหล่งประวัติศาสตร์ลำดับที่ 68) ส่วนในเมืองอิกซัน จังหวัดชอลลาบุกโด มีแหล่งโบราณคดีในวังกุง-รี และวัดมีรึกซา

 

แหล่งโบราณคดีเหล่านี้แสดงเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเอเชียตะวันออกโบราณในเกาหลี จีน และญี่ปุ่น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5-7 อีกทั้งยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเผยแผ่ศาสนาพุทธและการพัฒนาสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น วัดวาอาราม สุสานโบราณ งานสถาปัตยกรรม เจดีย์หิน และชื่อเสียงของเมืองราชธานีแห่งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงวัฒนธรรม ศาสนา และสุนทรียภาพที่รุ่งเรืองของอาณาจักรแพ็กเจโบราณในอดีตป้อมปราการ ราชวัง กำแพงเมือง สุสานหลวง และวัดวาอารามเป็นองค์ประกอบสำคัญของเมืองโบราณที่บ่งบอกถึงคุณค่าที่มีความโดดเด่นเป็นสากลของเขตประวัติศาสตร์แพ็กเจ 


ซอวอน สถาบันขงจื๊อใหม่ของเกาหลี


ซอวอนเป็นสถาบันการศึกษาที่ตั้งใจจะสอนลัทธิขงจื๊อยุคใหม่ ซึ่งได้รับการแนะนำจากประเทศจีนและเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยราชวงศ์โชซอน ส่วนใหญ่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 17 ประกอบด้วยตัวแทนซอวอน 9 คน ได้แก่ สถาบันขงจื๊อโซซูซอวอน นัมกเยซอวอน อกซันซอวอน โดซันซอวอน พีรัมซอวอน โดดงซอวอน บยองซันซอวอน มูซังซอวอน และโดนัมซอวอน ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ทางตอนกลางและทางใต้ของสาธารณรัฐเกาหลี พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นพยานหลักฐานที่ยอดเยี่ยมถึงลัทธิขงจื๊อใหม่และวัฒนธรรมการศึกษาของเกาหลีที่ยอดเยี่ยม


นักวรรณกรรมท้องถิ่นเป็นผู้นำซอวอนและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมที่มีซอวอนเป็นศูนย์กลางในราชวงศ์โชซอน นักปราชญ์ท้องถิ่นที่ซอวอนได้สร้างระบบการศึกษาและโครงสร้างที่จับต้องได้ เพื่อให้นักวิชาการรุ่นเยาว์สามารถอุทิศตนเพื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ ความเลื่อมใส และปฏิสัมพันธ์เป็นหน้าที่สำคัญของซอวอน ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างใกล้ชิดในการออกแบบของพวกเขา


<B>Gongsanseong Fortress.</B> The fortress, which was built along the mountain ridge and valley near Geumgang River, was initially called Ungjinseong but later renamed Gongsanseong after the Goryeo period.

ป้อมคงซันซอง 

ป้อมปราการซึ่งสร้างขึ้นตามแนวสันเขาและหุบเขาใกล้แม่น้ำคึมกัง เดิมเรียกว่าอุงจินซองแต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คงซันซองตามสมัยโครยอ



<B>1. Royal Tombs in Songsan-ri.</B> The Songsan-ri tombs contain the graves of kings and royal families during the Ungjin period (475–538), seven of which have been restored including the Tomb of King Muryeong.

สุสานหลวง ในซงซาน-รี 

สุสานซงซาน-รี ประกอบด้วยหลุมศพของกษัตริย์และราชวงศ์ในช่วงสมัยอุงจิน (475538) ซึ่งในนั้นได้รับการบูรณะแล้ว 7 แห่ง รวมถึงสุสานของกษัตริย์มูรยองด้วย



<B> 2. Jeongnimsa Temple Site. </B> The temple site during the Baekje period is located in Dongnam-ri, Buyeo-eup, in which a five-story stone pagoda and a stone seated Buddha remain.

วัดจองนิมซา 

เป็นวัดในสมัยแพ็กเจ ตั้งอยู่ในทงนัมรี เมืองพูยอ ซึ่งเป็นเจดีย์หิน 5 ชั้นและมีพระพุทธรูปประทับอยู่บนหินด้วย




สถาบันขงจื๊อโดซันซอวอน 

โดซันซอวอนเป็นสถานบันขงจื๊อซึ่งสร้างขึ้นในปี 1574 เพื่อรำลึกและเชิดชูการเรียนรู้และคุณธรรมของ อี ฮวัง 
(ค.ศ. 1501 - 1570) ปราชญ์แห่งราชวงศ์โชซอนตอนกลาง



ต้นฉบับฮุนมินจองอึม 

หน้ากระดาษนี้แสดงคำอธิบายเกี่ยวกับภาษาเกาหลีในขณะนั้นจำนวน 94 คำ สำหรับเสียง 3 เสียง
ได้แก่ เสียงต้น เสียงกลาง และเสียงท้าย ซึ่งเป็นต้นแบบการอ่านออกเสียงตัวอักษรเกาหลี


ฮุนมินจองอึม (เสียงที่เหมาะแก่การสอนประชาชน)


ฮันกึลคือระบบการเขียนและตัวอักษรภาษาเกาหลี ซึ่งประกอบไปด้วยตัวอักษรที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของอวัยวะที่ใช้ออกเสียง จึงทำให้เรียนรู้ได้เร็วและใช้ได้ง่าย พระเจ้าเซจงทรงเป็นผู้ประดิษฐ์ระบบเขียนฮันกึลขึ้นมา ทรงประกาศใช้ฮันกึลในปี 1446 และตั้งชื่อว่าฮุนมินจองอึมหรือ เสียงที่เหมาะแก่การสอนประชาชน” และในปีเดียวกันพระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้เหล่าราชบัณฑิตตีพิมพ์หนังสือฮุนมินจองอึมแฮเรบน (ฉบับอธิบาย) เพื่ออธิบายวัตถุประสงค์และหลักการใช้ระบบเขียนใหม่นี้ ปัจจุบันนี้ต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะคันซง (Kansong Art Museum) และขึ้นทะเบียนอยู่ในความทรงจำของโลก (Memory of the World Register) โดยองค์การยูเนสโกในปี 1997

 

การประดิษฐ์ฮุนมินจองอึมนับเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสให้กับชาวเกาหลีทุกชนชั้น วรรณะ เพศ และวัย แม้แต่ผู้หญิงและชนชั้นต่ำสุดก็สามารถฝึกเรียนเขียนอ่าน และถ่ายทอดความคิดความรู้สึกผ่านตัวเขียนได้อย่างเต็มที่ แต่เดิมตัวอักษรฮุนมินจองอึมมีทั้งหมด 28 ตัว แต่ปัจจุบันใช้เพียง 24 ตัวเท่านั้น ในปี 1989 องค์การยูเนสโกร่วมมือกับรัฐบาลเกาหลีจัดตั้งรางวัลการรู้หนังสือพระเจ้าเซจง (King Sejong Literacy Prize) ขึ้นเพื่อมอบให้กับองค์กรหรือบุคคลที่ทำคุณประโยชน์และมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้คนอ่านออกเขียนได้

 

ซึงชองวอน อิลกี: บันทึกของราชเลขาธิการ


บันทึกเหล่านี้รวบรวมชีวิตทางสังคมของกษัตริย์โชซอน และการปฏิสัมพันธ์ของพระองค์กับเหล่าขุนนาง ซึ่งจดบันทึกทุกวันโดยซึงชองวอนหรือราชเลขาธิการตั้งแต่เดือนสามของปี 1623 จนถึงเดือนแปดของปี 1910 เก็บรวบรวมไว้ทั้งสิ้น 3,243 ฉบับ ทั้งยังบรรยายรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา รายงาน และอุทธรณ์จากกระทรวงกรมกองต่างๆ ไว้อีกด้วย ปัจจุบันจัดเก็บไว้ที่สถาบันคูจังกัก สถาบันเกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล


อิลซองนก: บันทึกประจำวันเกี่ยวกับราชสำนักและขุนนางที่มีบทบาทสำคัญ (โชซอน / ศตวรรษที่ 18-20)


เขียนขึ้นโดยเหล่ากษัตริย์ในช่วงปลายรัชสมัยโชซอนถึงแม้จะเป็นบันทึกที่เขียนจากมุมมองของกษัตริย์ แต่อิลซองนกถือเป็นบันทึกทางราชการอย่างเป็นทางการ บันทึกตั้งแต่ปี 1760 (ยองโจ ปีที่ 36) ถึง 1910 (ยุงฮแว ปีที่ 4) บันทึกทั้งหมด 151 ปี รวบรวมได้ทั้งสิ้น 2,329 ฉบับ แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและรอบเกาหลีได้อย่างชัดแจ้ง รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันตกกับตะวันออกตั้งแต่ศตวรรษที่ 18-20 


อึย-กเว: ธรรมเนียมพิธีการของราชวงศ์โชซอน


ชุดหนังสือภาพแสนสวยนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชพิธีตลอดจนพิธีรีตองในราชสำนัก หรือเหตุการณ์สำคัญของประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในอนาคต หนังสือเหล่านี้มีข้อมูลและภาพเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระราชกรณียกิจของพระราชินีและมกุฎราชกุมาร งานพิธีศพของรัฐและราชวงศ์ และการสร้างสุสานของราชวงศ์ แม้กระทั่งในวาระอื่นๆ ก็มีเช่นกัน เช่น พิธีพืชมงคล การก่อสร้าง หรือปรับปรุงอาคารพระราชวัง รวมอยู่ด้วย ในภายหลังบันทึกการก่อสร้างป้องฮวาซองและการเสด็จประพาสเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบแห่งใหม่อย่างเป็นทางการของกษัตริย์จองโจในปลายศตวรรษที่ 18 นั้น มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งบันทึกเหล่านี้เก็บไว้ในหอสมุดประวัติศาสตร์แต่น่าเสียดายที่บันทึกในยุคโชซอนตอนต้นถูกไฟไหม้ไปในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามารุกรานเกาหลีในปี 1592 ภายหลังสงครามได้มีการจัดพิมพ์หนังสืออึย-กเวส่วนที่เหลือจำนวน 3,895 ฉบับ ซึ่งบางส่วนถูกกองทัพฝรั่งเศสขโมยไปในปี 1866 และเก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสจนกระทั่งปี 2011 จึงได้คืนกลับมายังเกาหลีตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลเกาหลีและฝรั่งเศส



อิลซองนก (โชซอน / ศตวรรษที่ 18-20) 

บันทึกกิจวัตรประจำวันของกษัตริย์ผู้ปกครองในสมัยปลายรัชสมัยโชซอนเกี่ยวกับกิจกรรม
และผลงานที่ทรงทำตั้งแต่ปี 1760~1910



ธรรมเนียมพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้ายองโจกับพระราชินีชองซุน (โชซอน ศตวรรษที่ 18) 

คา-รเย คือพระราชพิธีสำคัญโดยเฉพาะคา-รเยโดกัมอึย-กเว ซึ่งหมายถึงบันทึกที่เกี่ยวกับพระราชพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์และมกุฎราชกุมารรูปภาพนี้เป็นรูปภาพการอภิเษกสมรสของกษัตริย์ยองโจองค์ที่ 21 ของราชวงศ์โชซอนกับพระราชินีชองซุนเมื่อปี 1759



แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลี 

แม่พิมพ์ไม้กว่า 80,000  ชิ้น สลักเรื่องราวเกี่ยวกับคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เผยแผ่ในสมัยโครยอ 
ซึ่งเป็นบันทึกทางการเมือง วัฒนธรรม และความคิด ในช่วงศตวรรษที่ 13



แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลี


แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเก็บรักษาอยู่ที่วัดแฮอินซา (สร้างขึ้นเมื่อปี 802) ในฮับชอนกุน จังหวัดคยองซังนัมโดทำขึ้นในสมัยโครยอ (918-1392) โดยใช้เวลารวบรวมเริ่มตั้งแต่ปี 1236 ใช้เวลา 15 ปี จึงแล้วเสร็จ พระไตรปิฏกนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ พัลมัน แดจังคยอง แปลตรงตัวได้ว่า พระไตรปิฎกแม่พิมพ์ไม้แปดหมื่นชิ้น เนื่องจากมีแม่พิมพ์ทั้งสิ้น 81,258 ชิ้น 


แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลีนี้ทำขึ้นโดยชาวโครยอ ซึ่งต้องการแสวงหาพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยขับไล่กองทัพมองโกลที่เข้ามารุกรานและทำลายล้างประเทศในช่วงศตวรรษที่ 13 มักมีการเปรียบเทียบพระไตรปิฎกเกาหลีกับพระไตรปิกฉบับอื่นๆ ที่จัดทำขึ้นโดยราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์หมิง ในประเทศจีน และได้รับการยกย่องว่ามีเนื้อหาสมบูรณ์ครบถ้วนกว่า ซึ่งมีคุณค่าระดับโลก และเก็บรักษาอย่างดี กระบวนการผลิตแม่พิมพ์ไม้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคนิคการพิมพ์ขึ้นในเกาหลี
  

 มรดกเอกสารว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Human Rights Documentary Heritage) ปี 1980

บันทึกเหตุการณ์การลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยในกวางจู เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม


เหตุการณ์นี้เป็นการลุกขึ้นสู้ของมวลมหาชนที่ผนึกกำลังกันที่เมืองกวางจูตั้งแต่วันที่ 18-27 พฤษภาคม 1980 ชาวกวางจูพากันออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านระบอบเผด็จการทหารในสมัยนั้น แม้เส้นทางสู่ประชาธิปไตยในกวางจูจะจบลงอย่างน่าสลดใจ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยไปทั่วเอเชียตะวันออกในช่วงทศวรรษ 1980 มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม (May 18 Memorial Foundation) องค์การบริหารจดหมายเหตุและบันทึกแห่งชาติ (National Archives and Records Service) หอสมุดรัฐสภาแห่งชาติ (National Assembly Library) และองค์การต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมเอกสาร วิดีโอ รูปภาพ และบันทึกรูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่ชาวกวางจูทำระหว่างการเคลื่อนไหวรวมถึงขั้นตอนการชดใช้เยียวยาเหยื่อผู้เสียหายหลังเกิดเหตุการณ์ โดยบันทึกเหล่านี้ได้รับการจารึกไว้โดยองค์กรยูเนสโก
 
 

 

รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ  

(Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)

FAK_unesco_13.jpg

ชงมโย เชเรอัก (พิธีบูชาพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษ และดนตรีขับร้องประกอบพิธีกรรม ณ ศาลชงมโย)  

พิธีรำลึกถึงพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษจัดขึ้นตามฤดูกาล ณ ศาลชงมโยมีการแสดงมุนมู (เต้นรำพลเรือน) และมูมู (เต้นรำทหาร) การแสดงมุนมูคือการร่ายรำช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย ส่วนมูมูเป็นการเต้นด้วยท่วงท่าที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉง



 

พิธีบูชาบูรพกษัตราธิราชเจ้าและพระบรมวงศานุวงศ์และดนตรีประกอบพิธีกรรม


ชงมโยเชเรคือพิธีบูชาบูรพกษัตราธิราชเจ้าและพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนชงมโยเชเรอักคือดนตรีประกอบพิธีในปัจจุบันพิธีบูชาบูรพกษัตราธิราชเจ้า (ชงมโย เชเร) จัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคมเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์และราชินีแห่งโชซอนผู้ล่วงลับ ณ ศาลชงมโย ในกรุงโซล ถือเป็นหนึ่งในพิธีการสำคัญที่สุดของชาตินับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรโชซอนขึ้นตามแนวคิดของขงจื๊อในปี 1392 ดนตรีประกอบพิธีนี้ออกแบบขึ้นเพื่อคงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยทางสังคมและสร้างเสริมความสมานฉันท์ พิธีกรรมประกอบด้วยการแสดงดนตรีขับร้อง และร่ายรำเพื่อยกย่องเชิดชูความสำเร็จทั้งทางด้านการปกครอง และการทหารของบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์โชซอน ดนตรีในพิธีบูชาบูรพกษัตราธิราชเจ้าใช้เครื่องดนตรีหลากหลายชนิด เช่น เครื่องตี และเครื่องสี เป็นต้น พิธีกรรมชงมโยเชเรและพิธีชงมโยเชเรอักผสมผสานรวมเข้ากับลำนำดนตรีและระบำ พิธีนี้เป็นการแสดงที่คงไว้เหมือนเมื่อ 500  ปีก่อน ไม่ได้เพียงแค่เพื่ออนุรักษ์ความดั้งเดิมไว้เท่านั้น แต่เพื่อการผสานความเชื่อและรูปแบบองค์ประกอบทางศิลป์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

 


พันโซรี


พันโซรีเป็นการเล่าเรื่องราวผ่านเสียงดนตรีโดยนักร้องจะขับขาน (โซรี) ประกอบท่าทาง (บัลริม) และผูกเรื่องราว (อานีรี) มีมหากาพย์ที่มาจากนิทานพื้นบ้านและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ โดยมีนักดนตรีร่วมตีกลองให้จังหวะและส่งเสียงปลุกเร้าในขณะทำการแสดงด้วย พันโซรีถือกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 และได้ก่อให้เกิดนักแสดงและผู้ชมที่หลงรักในศิลปะการแสดงนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 


เทศกาลคังนึงทาโนเจ


เทศกาลฤดูร้อนนี้จัดขึ้นทั้งในและรอบๆ เมืองคังนึง จังหวัดคังวอนโด จัดขึ้นเป็นเวลาประมาณ 30 วัน โดยเริ่มก่อนวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นหนึ่งในเทศกาลพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลี และได้รับการอนุรักษ์คล้ายคลึงกับงานเทศกาลดั้งเดิมที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน เทศกาลเริ่มต้นด้วยการทำพิธีบูชาเทพเจ้าภูเขาแห่งแดควันยอง แล้วต่อด้วยการละเล่นพื้นบ้าน กิจกรรม และพิธีกรรมต่างๆ โดยจะสวดอ้อนวอนขอให้มีผลผลิตดี หมู่บ้านมีแต่ความสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ชุมชนรักใคร่ปรองดอง มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

<B>Gangneung Danoje Festival</B> A masked couple dancing at the Gwanno Mask Dance during the Dano festival, which is held to celebrate the change of the seasons from spring to summer.

เทศกาลคังนึงทาโนเจ 

การเต้นรำคู่ สวมหน้ากากควันโน เทศกาลทาโนเจจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองแก่เทพารักษ์จากเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมตามปฏิทินจันทรคติในภูมิภาคยองดง 

 

กิจกรรมแรกของเทศกาลทาโนเจเกี่ยวข้องกับการเตรียม เครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์” (ซินจู) ในวันที่ 5 เมษายน ตามปฏิทินจันทรคติ เพื่อถวายแด่เทพเจ้าซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงโลกมนุษย์กับภพสวรรค์ ต่อด้วยกิจกรรมเทศกาลต่างๆ เช่น ระบำหน้ากากควันโน ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงแบอวัจนภาษา โดยผู้แสดงจะสวมหน้ากากแสดง การเล่นแกว่งชิงช้า ซีรึม (มวยปล้ำเกาหลี) การแสดงข้างถนนโดยชาวนา การประกวดการเต้นและเล่นดนตรีโดยชาวนา (นงอัก) สระผมด้วยดอกชังโพ (ดอกไอริส) และการกินเค้กข้าวซูรีชวี การสระผมด้วยดอกชังโพนี้เป็นกิจกรรมที่ผู้หญิงนิยมทำกันโดยเชื่อว่าสารสกัดที่ได้จากดอกชังโพจะทำให้เส้นผมเงางามและขับไล่วิญญาณร้ายที่จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

 

คังกังซุลแล


กิจกรรมนี้เป็นการรวบรวมเอาการล้อมวงเต้นเข้ากับการร้องเพลงและการละเล่นแบบพื้นบ้าน ซึ่งผู้หญิงรอบๆ บริเวณจังหวัดชอลลานัมโดจะมาร่วมกิจกรรมนี้ในช่วงวันหยุดตามประเพณี เช่น ชูซอก (เทศกาลเก็บเกี่ยว) และแทโบรึม (พระจันทร์เต็มดวงวันแรกของปีตามปฏิทินจันทรคติ) ทุกวันนี้มีเพียงการเต้นเท่านั้นที่ให้นักเต้นมืออาชีพเป็นผู้แสดง การแสดงแบบดั้งเดิมมีการละเล่นพื้นบ้านหลายอย่างรวมอยู่ด้วย อาทิ นัมแซงอีโนรี (แสดงตลกเร่นัมซาดัง) ทอกซอกโมรี (ม้วนเสื่อฟาง) และโคซารีกอกกี (เก็บผักกูด) ผู้แสดงจะร้องเพลงคังกังซุลแลขณะที่เต้นรำ นักร้องนำจะร้องสลับกับนักแสดงคนอื่นๆ โดยเร่งจังหวะเพลงและการเต้นรำให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนจบ


นัมซาดัง โนรี


นัมซาดังโนรีโดยปกติจะแสดงโดยนัมซาดังแพ (คณะละครเร่ผู้ชาย) ซึ่งเดินทางไปตามตลาดในหมู่บ้านต่างๆ ประกอบด้วยการแสดงหลายรูปแบบ อาทิ พุงมุลโนริ (ร้องเพลงและเต้นรำ) ชุลทากี  (เดินไต่เชือก) แดจอบโทลลีกี (หมุนจาน) คัมยอนกึก (ละครสวมหน้ากาก) และกกดูกักซีโนรึม (ละครหุ่น) เป็นการละเล่นพื้นบ้านของเกาหลีที่มักจะเล่นกันในกลุ่มชาวนา นอกจากนี้ยังมีการเล่นเครื่องดนตรีในขณะเต้น เช่น บุก (กลอง) ชังกู (กลองทรงนาฬิกาทราย) กแวงกวารี (ฆ้องโลหะขนาดเล็ก) ชิง (ฆ้องโลหะขนาดใหญ่) และเครื่องเป่าอีกสองชนิดคือ นาบัล และแดพยองโซ การเล่นดนตรีเป็นการผ่อนคลาย เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามัคคี


 
 

ยองซันแจ


ยองซันแจแปลตรงตัวได้ว่า พิธีแห่งยอดเขาอีแร้ง” เป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาซึ่งจะทำในวันที่ 49 หลังจากมีผู้เสียชีวิตเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณ และนำทางไปสู่ดินแดนสุขาวดี พิธีนี้ทำสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโครยอเป็นพิธีที่ผนวกทั้งการขับขานและร่ายรำ การเทศนาพระธรรมคำสอนและท่องบทสวดมนต์ ถือเป็นประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญของเกาหลีที่ประกอบขึ้นเพื่อช่วยนำทางสรรพสัตว์ให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และพ้นจากความทุกข์และความเสื่อมทั้งมวล ในบางครั้งก็เพื่อความสงบสุขและความรุ่งเรืองของประเทศและปวงประชาราษฎร์

<B>1. Falconry</B> It was once a serious activity conducted to gain food but now an outdoor sport seeking a unity with nature. <B>2. Namsadang Nori</B> Performance presented by a traveling troupe of about 40 performers led by a percussionist called Kkokdusoe. <B>3. Yeongsanjae</B> A Buddhist memorial ritual performed on the 49th day after one’s death to guide the spirit to the pure land of bliss. <B>4. Pansori</B> Performance of a solo artist assisted by a drummer where singing is combined with dramatic narratives and gestures to present a long, epic story (National Center for Korean Traditional Performing Arts).

1.นัมซาดัง โนรี 
การแสดงโดยกลุ่มคณะละครเร่กว่า 40 ชีวิต นำแสดงโดยกกดูเซ คณะละครเร่ผู้ชาย และเป็นการแสดงเพื่อสามัญชนในยุคปลายแห่งราชวงศ์โชซอน 
2.การฝึกเหยี่ยวเพื่อการล่า 
ในอดีตถือเป็นกิจกรรมที่ทำกันอย่างจริงจังเพื่อล่าหาอาหาร แต่ปัจจุบันเป็นกีฬากลางแจ้งที่ผู้เล่นต้องการผูกพันเข้ากับธรรมชาติ 
3.ยองซันแจ 
พิธีกรรมทางพุทธศาสนาโดยจะประกอบพิธีขึ้นในวันที่ 49 หลังจากมีผู้เสียชีวิตเพื่อนำทางวิญญาณไปสู่ดินแดนสุขาวดี

4.พันโซรี 
เป็นการแสดงเดี่ยว โดยผู้แสดงจะขับร้องพร้อมทำท่าทางและเล่าเรื่องราวมหากาพย์อันยืดยาว มีผู้ตีกลองคอยช่วยตีกลองเคาะจังหวะ (ที่มา: ศูนย์ศิลปะการแสดง พื้นเมืองแห่งชาติ) (National Center for Korean Traditional Performing  Arts)



เชจู ชิลมอรีดัง ยองดึงกุด


ในอดีตมีการทำพิธีทรงเจ้าอันเก่าแก่นี้เกือบทุกหนแห่งในเกาะเชจู โดยผู้บวงสรวงจะสวดอ้อนวอนขอให้จับปลาได้จำนวนมากและชาวประมงกลับมาอย่างปลอดภัยตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวเกาะเชจู จัดในเดือนที่ 2 ตามปฏิทินจันทรคติ คือเดือนยองดึง ซึ่งผู้เฒ่ายองดึงหรือเทพวายุจะไปเยี่ยมเยือนตามหมู่บ้าน เรือกสวนไร่นา และบ้านเรือนทั่วเกาะเชจู ส่งข่าวคราวเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังมาเยือนและเทพวายุจะเดินทางกลับในวันเพ็ญ

 

แทกคยอน


แทกคยอนคือศิลปะการต่อสู้โบราณของเกาหลีที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากเทควันโด แต่เดิมมีหลายชื่อเรียก เช่น คักฮี (กีฬาที่ใช้ขา) ซึ่งมีความหมายว่า ชากี (เตะ)” เอกสารเก่าเรียกเป็น ทักกยอน” และพีกักซุล (ศิลปะแห่งขาบิน) ซึ่งชื่อดังกล่าวมีนัยว่าเป็นการต่อสู้ที่ใช้การเตะเช่นเดียวกับศิลปะการต่อสู้อื่นที่ไม่ใช้อาวุธ แทกคยอนเป็นการต่อสู้ที่มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และสามารถตอบโต้กับศิลปะการต่อสู้อย่างอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ มุ่งเน้นการฝึกฝนเทคนิคเพื่อตั้งรับและเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงโดยใช้ขาและเท้าเป็นหลัก ผู้แข่งขันเน้นที่การตั้งรับมากกว่าการรุก วิธีการแข่งขันจะใช้มือและเท้าทำให้คู่ต่อสู้ล้มลง หรือกระโดดเตะหน้าของอีกฝ่ายได้จะถือว่าชนะโดยจะต้องวางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหน้าชี้ไปทางคู่ต่อสู้

 

ชุลทากี (เดินไต่เชือก)


ชุลทากีคือศิลปะโบราณของเกาหลี (การเดินไต่เชือก) นักไต่เชือกจะแสดงกายกรรมร้องเพลง และเล่าเรื่องตลกขณะเดินไต่เชือก โดยปกตินักไต่เชือกจะมีผู้ช่วยหรือ ออริด กวังแด (ตัวตลก) คอยช่วยเสริมมุกอยู่ด้านล่าง โดยจะต่อมุกและทำท่าทางขบขันเพื่อให้ผู้ชมร่วมสนุกสนานไปด้วย ในอดีตการเดินไต่เชือกจะแสดงที่ราชสำนักเพื่อการอธิษฐานต่อศาลเจ้าเพื่อความสงบสุขในวันปีใหม่ หรือเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคณะทูตจากต่างประเทศ แต่กษัตริย์ในสมัยโชซอนเน้นการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายไม่หวือหวา ทำให้การแสดงไต่เชือกค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในหมู่บ้านและท้องตลาด และกลายเป็นการแสดงเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไปในที่สุด ซึ่งจะจัดในงานวันเกิดหรือวันครบรอบแซยิดของครอบครัวที่ร่ำรวย การเดินไต่เชือกในประเทศอื่นจะเน้นที่เทคนิคการเดินแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในเกาหลีนักไต่เชือกจะผสมผสานการร้องเพลง การแสดงตลกและกายกรรมผาดโผนเข้าไปและให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับการแสดงมากขึ้น

<B>1. Taekkyeon</B> A traditional Korean martial art marked by elegant yet powerful physical movements. <B>2. Jultagi</B> Performance of tightrope walking combined with singing, comedy and acrobatic movements.

1.แทกคยอน 
ศิลปะการต่อสู้แบบโบราณของเกาหลี เป็นการต่อสู้ที่มีท่วงท่าสง่างามและอ่อนช้อย แต่แข็งแกร่งสามารถป้องกันตนเองและโค่นคู่ต่อสู้ได้ 
2.ชุลทากี 
การแสดงเดินไต่เชือกพร้อมกับร้องเพลง แสดงตลก และเล่นกายกรรม



การฝึกเหยี่ยว


เกาหลีมีประเพณีเกี่ยวกับการเลี้ยงและฝึกเหยี่ยวรวมถึงนกล่าสัตว์อื่นๆ เพื่อล่าสัตว์จำพวกไก่ฟ้า หรือกระต่ายป่า ซึ่งถือว่าเป็นกีฬาล่าสัตว์ประเภทหนึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการฝึกเหยี่ยวในคาบสมุทรเกาหลีเริ่มขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน และมีการฝึกอย่างแพร่หลายในสมัยโครยอ (918-1392) กีฬาประเภทนี้ได้รับความนิยมมากกว่าในทางเหนือ และมักจะเล่นกันตั้งแต่เดือน 10 ตามปฏิทินจันทรคติ ตลอดช่วงฤดูหนาวไปจนถึงช่วงก่อนการทำเกษตรกรรมในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อชาวนาว่างเว้นจากการทำนา นักฝึกเหยี่ยวจะผูกเชือกหนังรอบข้อเท้านกและติดป้ายชื่อเจ้าของพร้อมกระดิ่งไว้ที่หาง ประเพณีการฝึกเหยี่ยวนี้ได้รับการจารึกอยู่ในรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) เมื่อปี 2010 พร้อมกับประเพณีอื่นๆ จาก 11 ประเทศทั่วโลก เช่น สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส มองโกเลีย สเปน และซีเรีย เป็นต้น



อารีรัง 

อารีรังเป็นเพลงพื้นบ้านเกาหลีที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ท่อนเด่นของเพลงคือ "อารีรัง อารีรัง อารารีโย"



 

อารีรัง


อารีรังคือชื่อเพลงพื้นบ้านที่ขับร้องกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณแสดงถึงวัฒนธรรมเกาหลี ไม่ได้มีเพียงแค่เพลงเดียว แต่ได้รับการถ่ายทอดในเวอร์ชั่นต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค โดยปัจจุบันมีเพลงอารีรังอยู่ประมาณ 3,600 เพลง และมีประมาณ 60 ประเภทเวอร์ชั่นที่แตกต่างกัน 


อารีรังเป็นเพลงที่สร้างขึ้นร่วมกันโดยผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น เนื่องจากใครๆ ก็คิดเนื้อเพลงและท่วงทำนองใหม่ๆ ได้ จึงได้รับการถ่ายทอดออกมาในเวอร์ชันต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น อารีรังที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ 'จองซอน อารีรัง' จากจังหวัดคังวอนโด 'จินโด อารีรัง' จากจังหวัดชอลลานัมโด และ และ 'มีรยัง อารีรัง' จากจังหวัดคยองซังนัมโด แม้ว่าท่วงทำนองและเนื้อเพลงจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แต่เพลงทั้งหมดมีท่อนที่คล้ายกัน เช่น 'Arirang' และ 'Arari' ในเพลง


เนื้อหาของเพลงมีความหลากหลายตามเวอร์ชั่น พวกเขาจะร้องในสถานการณ์ และเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาสามารถร้องเพลงเพื่อบรรเทาความยุ่งยากในการทำนา สารภาพรักต่อผู้เป็นที่รัก สวดมนต์เพื่อชีวิตที่มั่งคั่งและสงบสุข และเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้คนที่มาชุมนุมกันเพื่อเฉลิมฉลอง สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเพลงนี้รวบรวมอารมณ์ของความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความสุขที่ผู้คนรู้สึกในชีวิตประจำวัน เนื้อเพลงและท่วงทำนองของอารีรังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของนักร้อง และลักษณะนี้ทำให้เกิดตัวเร่งปฏิกิริยาในการเสริมสร้างความหลากหลายในวัฒนธรรมเกาหลี


ทุกวันนี้ มีการร้องเพลงอารีรังในงานสำคัญระดับชาติ ซึ่งมีบทบาทในการรวมคนเกาหลีให้เป็นหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ทีมชาติเกาหลีร้องเพลงเมื่อเข้าไปในสนามกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 27 ณ กรุงซิดนีย์ ในปี 2000 หรือในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลี/ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ ปิศาจแดง กลุ่มสนับสนุนอย่างเป็นทางการสำหรับฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐเกาหลี ร้องเพลงอารีรังส่งกำลังใจให้ทีมฟุตบอลชาติของพวกเขา



วัฒนธรรมคิมจัง: การทำและแบ่งปันกิมจิในเกาหลี


คิมจังเป็นชื่อเรียกกิจกรรมการทำกิมจิที่ชาวเกาหลีจะพร้อมใจกันทำกิมจิทั่วประเทศในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมอาหารเพื่อคงความสดใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับในช่วงฤดูหนาว กิมจิเป็นอาหารสำคัญของชาวเกาหลีที่ต้องมีในสำรับอาหารตั้งแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันกิมจิโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะอาหารประจำชาติเกาหลี ด้วยเหตุนี้คิมจังจึงเป็นกิจกรรมประจำปีที่มีความสำคัญมากสำหรับสมาชิกในครอบครัวและผู้คนในชุมชนทั่วทั้งประเทศ


กิจกรรมคิมจังเตรียมไว้สำหรับหน้าหนาวซึ่งมีขั้นตอนการเตรียมตลอดทั้งปี โดยในฤดูใบไม้ผลิแต่ละบ้านจะจัดเตรียมอาหารทะเลไว้ โดยเฉพาะกุ้งกับปลาแอนโชวี่ แล้วนำไปหมักเกลือจนได้ที่เพื่อใช้ในฤดูกาลทำกิมจิ ปลายฤดูร้อนจะมีการเตรียมพริกโดยจะทำพริกแห้งและเอาไปทำพริกป่น ส่วนปลายฤดูใบไม้ร่วงและต้นฤดูหนาวก็จะเป็นช่วงเตรียมพริกป่นและส่วนผสมที่สำคัญต่างๆ เช่น ผักกาดขาวสำหรับทำกิมจิ และหัวไชเท้าเกาหลี จากนั้นเมื่อใกล้เข้าฤดูหนาวสมาชิกในครอบครัวและผู้คนในชุมชนจะมารวมตัวกันในวันที่นัดหมายเพื่อทำกิมจิในปริมาณที่มากพอเลี้ยงคนทั้งครอบครัวตลอดหน้าหนาวที่ยาวนานและทารุณ


วัฒนธรรมคิมจังเป็นการรวมตัวกันขนาดใหญ่เพื่อร่วมกันทำกิมจิซึ่งในสังคมสมัยใหม่มีบรรยากาศที่เป็นปัจเจกแยกกันไป กิจกรรมนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะเสริมสร้างความสามัคคีของสมาชิกในสังคมและไม่สูญเสียตัวตนในฐานะคนเกาหลี นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแบ่งปันที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของชาวเกาหลี ประเพณีคิมจังได้รับการขึ้นทะเบียนอยู่ในรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List  of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ขององค์กายูเนสโกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2013

World heritage 548 .jpg


Memory of the world 548.jpg


Intangible Cultural Heritage 548 .jpg

แหล่งมรดกโลก

 

ถ้ำซ็อกกูรัมและวัดพุลกุกซา ต้นแบบของสถาปัตยกรรมพุทธที่สร้างขึ้นในสมัยชิลลา

สถานที่ เมืองคยองจู จังหวัดคยองซังบุกโด

เว็บไซต์ www.sukgulam.org

 

หอพระไตรปิฎกชางคยองพันจอนแห่งวัดแฮอินซา อําเภอฮับชอน อาคารเก่าแก่ที่สุดของวัดแฮอินซา เก็บรักษาแม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลีไว้กว่า 80,000 ชิ้น

สถานที่ อําเภอฮับชอน จังหวัดคยองซังนัมโด

เว็บไซต์ www.haeinsa.or.kr

 

ศาลชงมโยศาลเจ้าขงจื๊อในสมัยโชซอนเป็นที่เก็บรักษาป้ายพระบรมอรรคราชบรรพบุรุษราชวงศ์โชซอนและพระราชินีคู่ศรีพระบารมี

สถานที่ เขตชงโนกู กรุงโซล

เว็บไซต์ jm.cha.go.kr

 

พระราชวังชางด็อกกุง พระราชวังอย่างเป็นทางการของราชวงศ์โชซอนตั้งแต่ปี 1610 ถึง 1868 เป็นระยะเวลา 258 ปี

สถานที่ เขตชงโนกู กรุงโซล

เว็บไซต์ www.cdg.go.kr

 

ป้อมฮวาซอง สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของการสร้างป้อมปราการในสมัยโชซอน ผสานรวมความสง่างามและอรรถประโยชน์เข้าไว้ด้วยกัน

สถานที่ เมืองซูวอนซี จังหวัดคยองกีโด

เว็บไซต์ www.swcf.or.kr

 

เขตประวัติศาสตร์คยองจู ร่องรอยอารยธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เป็นอดีตราชธานีของอาณาจักรชิลลานานนับหนึ่งสหัสวรรษ

สถานที่ เมืองคยองจูซี จังหวัดคยองซังบุกโด

เว็บไซต์ guide.gyeongju.go.kr

 

อุทยานเพิงหินโคชาง ฮวาซุน และคังฮวา หินขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นหินระลึกในงานศพและหลุมศพที่สร้างขึ้นหินใหญ่นี้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ศิลปะ และสถานะทางสังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์เกาหลี

สถานที่ อำเภอโคชางกุน จังหวัดชอลลาบุกโด / อำเภอฮวาซุนกุน จังหวัดชอลลานัมโด / และอำเภอคังฮวากุน เมืองอินชอน

 

เกาะภูเขาไฟเชจูและถ้ำลาวา ยอดภูเขาไฟและปล่องลาวาเกิดขึ้นจากการระเบิดตัวของภูเขาฮัลลาซาน ภูเขาที่สูงที่สุดของสาธารณรัฐเกาหลี

สถานที่ ภูเขาฮัลลาซาน คอมุนโอรึม และยอดเขาซองซันอิลชุลบง เกาะเชจู

เว็บไซต์ jejuwnh.jeju.go.kr

 

สุสานหลวงแห่งราชวงศ์โชซอน สุสานหลวงของราชวงศ์โชซอน มีของวังรึง (กษัตริย์และราชินิ) 40 กี (สุสาน) และวอน (มกุฎราชกุมาร พระชายาและกษัตริย์) 13 กี (สุสาน) ซึ่งจํานวนทั้งหมด 53 กี (สุสาน) ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดังเดิม

สถานที่ เขตซอโซกู กรุงโซล เมืองคูรีซี และเมืองยอจูซี จังหวัดคยองกีโด

 

หมู่บ้านประวัติศาสตร์เกาหลี ฮาฮเวและยางดง หมู่บ้านของเหล่าขุนนางแห่งโชซอน สร้างขึ้นตามลัทธิขงจื๊อและตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งด้านหน้ามีแม่น้ำ และด้านหลังมีภูเขา

สถานที่ เมืองอันดงซี และเมืองคยองจูซี จังหวัดคยองซังบุกโด

 

ป้อมปราการนัมฮันซันซ็อง ป้อมปราการภูเขามีสถานะเป็นเมืองหลวงชั่วคราว ในยุคราชวงศ์โชซอน ใช้เทคนิคการสร้างป้อมที่พัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 7-19

สถานที่ เมืองควางจูซี จังหวัดคยองกีโด

 

เขตประวัติศาสตร์แพ็กเจ

สถานที่ เมืองคงจูซี อำเภอพูยอกุน จังหวัดชุงชองนัมโด เมืองอิกซันซี จังหวัดชอลลาบุกโด

 

มรดกบันทึกของโลก

 

ฮุนมินจองอึม (เสียงที่เหมาะแก่การสอนประชาชน) หนังสือที่พิมพ์ขึ้นจากการแกะสลักไม้แบบเล่มเดียวจบ พิมพ์เมื่อปี 1446 อธิบายถึงระบบการเขียนภาษาเกาหลี

 

โชซอน วังโจ ซิลลก: พงศาวดารราชวงศ์โชซอน พงศาวดารของราชวงศ์โชซอนตั้งแต่ปี 1392 ถึง 1863 รวมแล้ว 472 ปี มีทั้งสิ้น 1,893 ฉบับ 888 เล่ม

เว็บไซต์ sillok.history.go.kr

 

ชิกจีชิมเชโยจอล หนังสือนี้ทำขึ้นโดยการพิมพ์ด้วยตะกั่วและทองแดงซึ่งถือเป็นหนังสือเก่าแก่ที่สุดในโลกที่พิมพ์ด้วยตะกั่วและทองแดง หนังสือนี้รวบรวมหลักธรรมคำสอนศาสนาพุทธของพระมหาเถระและเป็นหนังสือธรรมะชั้นสูงสำหรับพระภิกษุในเกาหลี

เว็บไซต์ www.jikjiworld.ne

 

ซึงชองวอน อิลกี: บันทึกของราชเลขาธิการบันทึกประจำวันของกษัตริย์ผู้ปกครองสมัยโชซอนที่เป็นความลับและมีข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่ามากมาย

เว็บไซต์ kyu.snu.ac.kr

 

อึยกเว ธรรมเนียมพิธีการของราชวงศ์โชซอน บันทึกภาพหายากและความงดงามเกี่ยวกับพระราชพิธี และรัฐพิธีสำคัญต่างๆ ของราชวงศ์โชซอน

เว็บไซต์ kyujanggak.snu.ac.kr

 

แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกเกาหลีและคัมภีร์พุทธศาสนาเบ็ดเตล็ด คัมภีร์พุทธศาสนาแกะสลักบนไม้พิมพ์ 80,000 ชิ้น จารึกข้อมูลล้ำค่าเกี่ยวกับการเมือง วัฒนธรรม และปรัชญาของอาณาจักรโครยอในศตวรรษที่ 13

เว็บไซต์ www.haeinsa.or.kr

 

ทนอึย โพกัม: ปรัชญาทางการแพทย์แผนตะวันออก

ทงอึย โพกัม คือ หนังสือทางการแพทย์แผนตะวันออก เขียนโดยหมอฮอจุน ตั้งแต่ ปี 1610 และเสร็จสิ้นในปี 1613

 

อิลซองนก: บันทึกประจำวันเกี่ยวกับราชสำนัก และพระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญ อิลซองนก คือบันทึกเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันและงานราชการของกษัตริย์โชซอนสมัย 1752-1910


มรดกเอกสารว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Human Rights Documentary Heritage) ปี 1980  เอกสารที่ถูกเก็บบันทึกรวบรวมจำนวนมาก ทั้งวิดีโอ รูปภาพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์การลุกขึ้นต่อต้านระบอบทหารเพื่อประชาธิปไตยในกวางจูเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 

 

นันจุง อิลกี: บันทึกสงครามของพลเรือเอกอี ซุน-ซิน บันทึกส่วนตัวที่พลเรือเอกอี ซุน-ซิน เขียนไว้ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันและสถานการณ์การต่อสู้ในช่วงสงครามอิมจินแวรัน (ญี่ปุ่นบุกรุกรานเกาหลีในปี 1592-1598) 

 

จดหมายเหตุแซมาอึล อุนดง

บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแซมาอึล อุนดง (การเคลื่อนไหวของชุมชนใหม่) ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวต้นแบบที่ผลักดันให้เกิดการพัฒนาชุมชนเกษตรกรรมและการขจัดความยากจนได้เป็นผลสำเร็จในช่วงทศวรรษ 70

 


มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

 

พิธีกรรมชงมโยเชเรและพิธีชงมโยเชเรอัก  พิธีบูชาบูรพกษัตราธิราชเจ้าและพระบรมวงศานุวงศ์และดนตรีประกอบพิธีที่ศาลชงมโย

 

พันโซรี ศิลปะการแสดงโบราณที่มีผู้ขับร้องคนเดียว แสดงร่วมกับผู้ตีกลองอีกหนึ่งคน โดยผู้แสดงจะขับร้องเรื่องราวหรือเรื่องเล่าในสมัยโบราณ ประกอบท่วงทำนองและการเคลื่อนไหวของมือและร่างกาย

 

เทศกาลคังนึงทาโนเจ เป็นเทศกาลอันเก่าแก่ที่มีหมายเลข 5 ซ้อนกัน ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 ของเดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ

 

คังกังซุลแล งานการละเล่นพื้นบ้านแบบโบราณ ผู้หญิงจะมาร่วมร้องเพลงเต้นรำฉลองเทศกาลพระจันทร์

 

นัมซาดังโนรี การแสดงพื้นบ้านโดยกลุ่มละครเร่ที่จะมาแสดงตามชุมชนต่างๆในชนบท มีกลุ่มนักแสดงราว 40 คน (นัมซาดังแพ) นำแสดงโดยนักดนตรีหลัก (กกดูเซ)

 

ยองซันแจ พิธีกรรมทางพุทธศาสนาเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณและนำทางไปสู่ดินแดนสุขาวดี

 

เชจู ชิลมอรีดัง ยองดึงกุด พิธีทรงเจ้าไล่ผีแบบโบราณ ณ ศาลชิลมอรีดัง  ศาลเจ้าที่ปกปักษ์คุ้มครองหมู่บ้านแห่งคอนิบดง  เมืองเชจู

 

ชอยองมู การเต้นระบำในราชสำนักที่มีผู้เต้น 5 คน สวมหน้ากากชอยองและชุดแต่งกายแถบ 5 สี

 

คากก การร้องเพลงประกอบวงมโหรี ลำนำ เพลงแบบดั้งเดิม ร้อยเรียงบทกลอนใส่ ท่วงทำนองที่บรรเลงโดยวงมโหรี

 

แดมกจัง (ช่างใหญ่สถาปัตยกรรมไม้แบบโบราณ) แดมกจัง คือคนก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยนายช่างใหญ่

 

การฝึกเหยี่ยว ศิลปะการเลี้ยงและฝึกเหยี่ยวให้ล่าสัตว์

 

ชุลทากี การแสดงพื้นบ้านแบบดั้งเดิม นักไต่เชือกจะแสดงกายกรรม ร้องเพลงและเล่าเรื่องตลกขณะเดินไต่เชือก

 

แทกคยอน ศิลปะการต่อสู้แบบโบราณที่อ่อนช้อยเพื่อป้องกันตน ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ

 

การทอผ้าป่านเนื้อละเอียดหรือโมซีในภูมิภาค ฮันซัน ประเพณีการทอผ้าป่านคุณภาพสูงเพื่อตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ในฤดูร้อน ซึ่งสืบทอดต่อกันมาในภูมิภาคฮันซัน

 

อารีรัง เพลงพื้นบ้านที่มีท่วงทำนองและคำร้องที่หลากหลายเป็นเพลงในดวงใจของชาวเกาหลีมาหลายยุคหลายสมัย

 

วัฒนธรรมคิมจัง การทำและแบ่งปันกิมจิในเกาหลี ประเพณีการเตรียมและทำกิมจิไว้สำหรับรับประทานในช่วงฤดูหนาว โดยสมาชิกทั้งครอบครัวหรือผู้คนทั้งชุมชนจะมาร่วมด้วยช่วยกัน

 

นงอัก การบรรเลงดนตรีวง เต้นรำ และทำพิธีกรรมของชุมชนในสาธารณรัฐเกาหลี

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของเกาหลีได้ที่ ‘www.cha.go.kr’